Wellcome

ยินดีต้อนรับกัลยาณมิตร ขณะนี้วีดีโอสามารถรับชมได้แล้ว โปรดรับชมตามอัธยาศัย

วันอังคารที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2556

ธรรมทั้งหลายเกิดแต่เหตุ


พระธรรมเทศนา
โดย
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร)
31 ตุลาคม 2497
ธรรมทั้งหลายเกิดแต่เหตุ
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส. (3 หน)
เย ธมฺมา เหตุปพฺภวา          เตสํ เหตุํ ตถาคโต
เตสญฺจ โย นิโรโธ จ          เอวํวาที มหาสมโณ
อวิชฺชาทีหิ สมฺภูตา          รูปญฺจ เวทนา ตถา
อโถ สญฺญา จ สงฺขารา          วิญฺญาณญฺจาติ ปญฺจิเม
อุปฺปชฺชนฺติ นิรุชฺชนฺติ          เอวํ หุตฺวา อภาวโต
เอวํ ธมฺมา อนิจฺจาติ          ตาวกาลิกตาทิโต
เอตฺตกานมฺปิ ปาฐานํ          อตฺถํ อญฺญาย สาธุกํ
ปฏิปชฺเชถ เมธาวี          อโมฆํ ชีวิตํ ยถาติ.


ณ บัดนี้ อาตมภาพจักได้แสดงธรรมีกถา เริ่มต้นแต่ความย่อย่นธรรมเทศนาของ พระบรมศาสดา พระองค์ได้รับสั่งด้วยพระองค์เองว่า ธรรมทั้งหลายเกิดแต่เหตุ ไม่มีเหตุแล้ว ธรรมก็เกิดไม่ได้ นั้นเป็นข้อใหญ่ใจความทางพระพุทธศาสนา ผู้มีปัญญาจะพึงได้สดับในบัดนี้ ตามวาระพระบาลีที่ยกขึ้นไว้ในเบื้องต้นว่า เย ธมฺมา เหตุปพฺภวา เตสํ เหตุ ํ ตถาคโต เตสญฺจ โย นิโรโธ จ เอวํวาที มหาสมโณ ธรรมทั้งหลายเกิดแต่เหตุ พระตถาคตเจ้าทรงตรัสเหตุ ของธรรมเหล่านั้น และความดับเหตุของธรรมเหล่านั้น พระมหาสมณเจ้าทรงตรัสอย่างนี้
นี่เนื้อความของพระบาลีแห่งพุทธภาษิต คลี่ความเป็นสยามภาษา อรรถาธิบายว่า คำว่าเหตุนั้น ในสังคหะแสดงไว้ ฝ่ายชั่วมี 3 ฝ่ายดีมี 3 ดังพระบาลีว่า โลภเหตุ โทสเหตุ โมหเหตุ, อโลภเหตุ อโทสเหตุ อโมหเหตุ มีเหตุ 3 ดังนี้ เพราะท่านแสดงหลักไว้ตามวาระ พระบาลีที่ยกขึ้นไว้นะ ท่านแสดงหลัก ยกเบญจขันธ์ทั้ง 5 มี อวิชชาเป็นปัจจัย วางหลักไว้ ดังนี้ อวิชฺชาทีหิ สมฺภูตา รูปญฺจ เวทนา ตถา อโถ สญฺญา จ เวทนา วิญฺญาณญฺจาติ ปญฺจิเม เบญจขันธ์ทั้ง 5 เหล่านี้ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เกิดพร้อมแต่ ปัจจัยทั้งหลาย มี อวิชชา เป็นต้น เกิดอย่างไรเกิดแต่เหตุ เกิดพร้อมแต่ปัจจัยทั้งหลาย มี อวิชชาเป็นต้น ดังในวาระพระบาลีที่ท่านวางเนติแบบแผนไว้ว่า อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร ดังนั้นเป็นต้น อวิชชาความรู้ไม่จริง มันก็กระวนกระวาย นิ่งอยู่ไม่ได้ ความรนหา ความไม่รู้จริงนั่นแหละ มันก็เกิดเป็นสังขารขึ้น รู้ดีรู้ชั่ว รู้ไม่ดีไม่ชั่ว เข้าไปว่า อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร สังขารเป็นปัจจัยให้เกิด วิญญาณ ความรู้ เมื่อมีความรู้ขึ้นแล้ว วิญญาณเป็นปัจจัยให้เกิดนามรูป มันก็ไปยึดเอา นามรูปเข้า นามรูปเป็นปัจจัยให้เกิดสฬายตนะ มีนามรูปแล้วก็มีอายตนะ 6 เข้าประกอบ อายตนะ 6 เป็นปัจจัยให้เกิดผัสสะ เมื่อมีอายตนะ 6 เข้าแล้วก็รับผัสสะ ผัสสะเป็นปัจจัย ให้เกิดเวทนา เวทนาเป็นปัจจัยให้เกิดตัณหา ความอยากได้ ดิ้นรน กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ตัณหามีขึ้นแล้ว เป็นปัจจัยให้เกิดอุปาทาน ความยึดถือ อุปาทานมีขึ้นแล้ว เป็นปัจจัยให้เกิดภพ ก็ยึดถือภพต่อไป กามภพ รูปภพ อรูปภพ ภพเป็นปัจจัยให้เกิด ชาติ เมื่อได้ภพแล้วก็เกิดเป็นมนุษย์ก็ดี เป็นสัตว์เดรัจฉานก็ดี 4 กำเนิด เกิดด้วยอัณฑชะ เกิดจากสังเสทชะ เกิดด้วยชลาพุชะ อุปปาติกะ อัณฑชะ เกิดเป็นฟองไข่ สังเสทชะ เกิด ด้วยเหงื่อไคล ชลาพุชะ เกิดด้วยน้ำพวกมนุษย์ อุปปาติกะ ลอยขึ้นบังเกิดอย่างพวกเทวดา สัตว์นรกนี่ อุปปาติกะนี้ที่เกิดขึ้นได้เช่นนี้ ก็เพราะอวิชชานั่นเอง ไม่ใช่อื่น ถ้าอวิชชาไม่มีแล้ว เกิดไม่ได้ อวิชชานะเป็นเหตุด้วย แล้วเป็นปัจจัยด้วย นี่เราท่านทั้งหลายเป็นหญิง เป็นชาย เป็นคฤหัสถ์บรรพชิต เกิดมาได้อย่างนี้
ความเกิดอันนี้แหละเกิดแต่เหตุ ไม่ได้เกิดแต่อื่น ไม่ว่าสิ่งอันใดทั้งสิ้น ต้องมีเหตุเป็น แดนเกิดทั้งนั้น ถ้าไม่มีเหตุ เกิดไม่ได้ นี่พระองค์ทรงรับรองไว้ตามวาระพระบาลีในเบื้องต้นนั้น
เมื่อเป็นเหตุเกิดขึ้นเช่นนี้ ท่านวางหลักไว้อีกว่า อุปฺปชฺชนฺติ นิรุชฺฌนฺติ มีดับ มีเกิด เกิดดับนี่เป็นตัวสำคัญ ไม่ใช่เกิดฝ่ายเดียว มีเกิดแล้วมีดับด้วย ความดับนั้น อวิชชาไม่ดับ สังขารก็ดับไม่ได้ สังขารไม่ดับ วิญญาณก็ดับไม่ได้ วิญญาณไม่ดับ นามรูปก็ดับไม่ได้ นามรูปไม่ดับ อายตนะ 6 ก็ดับไม่ได้ อายตนะ 6 ไม่ดับ ผัสสะก็ดับไม่ได้ ผัสสะไม่ดับ เวทนาก็ดับไม่ได้ เวทนาไม่ดับ ตัณหาก็ดับไม่ได้เหมือนกัน ตัณหาไม่ดับ อุปาทานก็ดับ ไม่ได้ อุปาทานไม่ดับ ภพก็ดับไม่ได้ ภพไม่ดับ ชาติก็ดับไม่ได้ ชาติเป็นตัวสำคัญ ไม่หมด ชาติ หมดภพ นี่เขาต้องดับกันอย่างนี้ เมื่อดับก็ดับเป็นลำดับไปอย่างนี้ ได้วางตำราไว้ว่า อวิชฺชายเตฺว อเสสวิราคนิโรธา สงฺขารนิโรโธ อนึ่ง เพราะอวิชชานั่นแหละดับไปโดยไม่เหลือ ด้วยมรรคคือวิราคะ สังขารจึงดับ วิญญาณดับกันเรื่อยไป จนกระทั่งถึงชาติโน่น ดับกันหมด ท่านจึงได้ยกบาลีว่า อุปฺปชฺชนฺติ นิรุชฺฌนฺติ ย่อมเกิดย่อมดับดังนี้ อุปฺปชฺชนฺติ นิรุชฺฌนฺติ เกิด ดับหมดทั้งสากลโลก เกิดดับเรื่องนี้ พระปัญจวัคคีย์รับว่าได้ฟังพระปฐมเทศนาธัมมจักกัปปวัตตนสูตรของพระบรมศาสดา รับรองทีเดียวตามวาระพระบาลีว่า อายสฺมโต โกณฺฑญฺญสฺส วิรชํ วีตมลํ ธมฺมจกฺขุํ อุทปาทิ ยงฺกิญฺจิ สมุทยธมฺมํ สพฺพนฺตํ นิโรธธมฺมํ ว่า วิรชํ วีตมลํ ธมฺมจกฺขุํ อุทปาทิ เห็นธรรมอันปราศจากธุลีปราศจากมลทินได้เกิดขึ้นแล้วแก่ผู้มีอายุชื่อว่า อัญญาโกณฑัญญะ เห็นอะไร เห็นเกิดดับนั่นเอง ยงฺกิญฺจิ สมุทยธมฺมํ สพฺพนฺตํ นิโรธธมฺมํ สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมดมีความดับไปเป็นธรรมดา ถ้าย่นลงไป แล้วก็มีเกิดและดับ นี่ตรงกับ อุปฺปชฺชนฺติ นิรุชฺฌนฺติ เกิดดับอยู่อย่างนี้ เมื่อเกิดดับดังนี้แล้ว เอวํ หุตฺวา อภาวโต เอเต ธมฺมา อนิจฺจาติ ตาวกาลิกตาทิโต รูปธรรมนามธรรมเหล่านั้น ไม่เที่ยง เพราะความมีแล้วหามีไม่ รูปธรรมนามธรรมเหล่านั้นไม่เที่ยง เพราะความเป็น เหมือนดังของขอยืม เป็นต้น เหมือนเราท่านทั้งหลายบัดนี้ มีเกิดมีดับเรื่อยไป รูปธรรม นามธรรมที่ได้มานี้ มีแล้วหามีไม่ เพราะความเป็นดังของขอยืมเหมือนกันทุกคน ต้องขอยืม ทั้งนั้น ผู้เทศน์นี่ก็ต้องคืนให้เขา เราๆ ทุกคนก็ต้องคืนทั้งนั้น ขอยืมเขามาใช้ ไม่ใช่ของตัวเลย ความเป็นจริงเป็นอย่างนี้
เมื่อรู้ความของมันเป็นอย่างนี้แล้ว ท่านจึงได้รับสั่งในคาถาเป็นลำดับไปว่า สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจาติ ยทา ปญฺญาย ปสฺสติ อถ นิพฺพินฺทติ ทุกฺเข เอส มคฺโค วิสุทฺธิยา เมื่อใด บุคคลเห็นตามปัญญาว่า สังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง เมื่อนั้นย่อมเหนื่อยหน่ายในทุกข์ เอส มคฺโค วิสุทฺธิยา นี่เป็นหนทางหมดจดวิเศษ ให้ปัญญาจรดลงตรงนี้นะ ว่าสังขารทั้งหลาย ทั้งปวงไม่เที่ยง ถ้าจริง ไม่เที่ยงอยู่แล้วละก็ ยึดด้วยความไม่เที่ยงนั้นไว้ อย่าให้หายไป ตรึก ไว้เรื่อย สังขารทั้งปวงน่ะ ถ้ามันอยากจะโลดโผนละก้อ สังขารของตัว ปุญญาภิสังขาร สังขารที่ เป็นบุญ อปุญญาภิสังขาร สังขารที่เป็นบาป อเนญชาภิสังขาร สังขารที่ไม่หวั่นไหว กายสังขาร ลมหายใจเข้าออกปรนปรือกายให้เป็นอยู่ วจีสังขาร ความตรึกตรองที่จะพูด จิตสังขาร ความ รู้สึกอยู่ในใจเป็นจิตสังขาร สังขารทั้งหลายเหล่านี้ไม่เที่ยง ไม่เที่ยงจริงๆ แล้วเอาจรดอยู่ที่ ความไม่เที่ยง ตัวก็เป็นสังขารดุจเดียวกัน แบบเดียวกันหมด ปรากฏหมดทั้งสากลโลก ล้วนแต่อาศัยสังขารทั้งนั้น เห็นจริงเช่นนี้แล้ว ก็จะเหนื่อยหน่ายในทุกข์ทีเดียว พอเหนื่อยหน่าย ในทุกข์ ก็รักษาความเหนื่อยหน่ายนั้นไว้ไม่ให้หายไป ช่องนั้นแหละ ทางนั้นแหละหมดจด วิเศษ ระงับความทุกข์ได้แท้ๆ
แล้วคาถาตามลำดับไปรับรองว่า ปุนปฺปุนํ ปิฬิตตฺตา อุปฺปาเทน วเยน จ เต ทุกฺขาว อนิจฺจา เย อตฺถสนฺตตฺตาทิโต สังขตธรรมทั้งหลายเหล่าใดไม่เที่ยง เมื่อเห็นว่าไม่เที่ยงแล้ว สังขารธรรมทั้งหลายเหล่านั้นเป็นทุกข์แท้ เพราะความเกิดขึ้นและความเสื่อมไปเบียดเบียน อยู่ร่ำไป และเป็นสภาพเร่าร้อน เป็นต้น ไม่เยือกเย็น เป็นสภาพที่เร่าร้อน พระคาถาหลัง รับสมอ้างอีกว่า สพฺเพ สงฺขารา ทุกฺขาติ ยทา ปญฺญาย ปสฺสติ อถ นิพฺพินฺทติ ทุกฺเข เอส มคฺโค วิสุทฺธิยา เมื่อใดบุคคลเห็นตามปัญญาว่า สังขารทั้งหลายทั้งปวงเป็นทุกข์ เมื่อนั้นย่อม เหนื่อยหน่ายในทุกข์ นี่เป็นวิสุทธิมรรค หนทางหมดจดวิเศษ นี่ให้เห็นว่าสังขารทั้งปวงเป็น ทุกข์ อ้ายสิ่งที่ไม่เที่ยงนั้นแหละเป็นทุกข์แท้ๆ ไม่ใช่เป็นสุข ถ้าว่าเป็นสุขแล้ว มันก็ต้องเที่ยง นี่มันไม่เป็นสุข มันจึงไม่เที่ยง เมื่อมันไม่เที่ยงแล้ว มันเป็นสุขได้อย่างไร มันก็เป็นทุกข์เท่านั้น
เมื่อรู้จักชัดเช่นนี้แล้ว วเส อวตฺตนาเยว อตฺตวิปกฺขภาวโต สุญฺญตฺตสฺสามิกตฺตา จ เต อนตฺตาติ ญายเร สังขารธรรมทั้งหลายเหล่านั้น บัณฑิตรู้ว่าไม่ใช่ตัว ว่าเป็นอนัตตา เพราะ ความเป็นสภาพไม่เป็นไปตามอำนาจเลย อตฺตวิปกฺขภาวโต เพราะเป็นปฏิปักษ์แก่ตน สุญฺญตฺตสฺสามิกตฺตา จ เป็นสภาพว่างเปล่า เราก็ว่างเปล่า เขาว่างเปล่า ว่างเปล่าหมดทั้งนั้น เอาอะไรมิได้ หาอะไรมิได้เลย ต้นตระกูลเป็นอย่างไร หายไปหมด ว่างเปล่าไปหมด หาแต่ คนเดียวก็ไม่ได้ ว่างเปล่าอย่างนี้ไม่มีเจ้าของ เอ้า! ใครล่ะมาเป็นเจ้าของเบญจขันธ์ คนไหนเล่า เป็นเจ้าของเบญจขันธ์ เป็นเจ้าของไม่ได้เลย ของตัวก็ต้องทิ้ง เอาไปไหนไม่ได้ ทิ้งทั้งนั้น ยืนยัน ว่าเหมือนของขอยืมเขาใช้ทั้งนั้น แล้วก็ต้องส่งคืนทั้งนั้นเอาไม่ได้ เอาอะไรไม่ได้ทั้งนั้น เมื่อรู้จัก หลักจริงดังนี้ ให้ตรึกไว้ในใจ ท่านจึงได้ยืนยันเป็นตำรับตำราไว้ว่า สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตาติ
เมื่อกี้พูดถึงขันธ์นะ พูดถึงสังขาร นี่มาพูดถึงธรรมเสียแล้ว สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตาติ ยทา ปญฺญาย ปสฺสติ อถ นิพพินฺทติ ทุกฺเข เอส มคฺโค วิสุทฺธิยา เมื่อใดบุคคลเห็นตาม ปัญญาว่า ธรรมทั้งหลายทั้งปวงมิใช่ตัว เอ้า! มาเรื่องธรรมเสียแล้ว เมื่อกี้พูดสังขารอยู่ ธรรม ทั้งปวงมิใช่ตัว เมื่อนั้นย่อมเหนื่อยหน่ายในทุกข์ นี้เป็นมรรคาวิสุทธิ์ หรือวิสุทธิมรรค หนทางหมดจดวิเศษ
นี่ธรรมละ ธรรมทั้งปวงมิใช่ตัวหละ สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตาติ ธรรมทั้งปวงมิใช่ตัว นี่ มันอื่นจากสังขารไป มันสังขารคนละอย่าง สังขารอันหนึ่ง ธรรมอันหนึ่ง ไม่ใช่อันเดียวกัน ธรรมทั้งปวงมิใช่ตัว ธรรมที่ทำให้เป็นตัวนะ ที่จะเป็นมนุษย์นี่ก็ต้องอาศัยมนุษยธรรม ที่จะ เป็นกายมนุษย์ละเอียดนี่ก็อาศัยมนุษยธรรม ธรรมที่ทำให้เป็นมนุษย์ ธรรมที่เป็นกายทิพย์ อาศัยทิพยธรรม เป็นกายทิพย์ละเอียด อาศัยทิพยธรรม ที่เป็นกายรูปพรหมก็อาศัยพรหมธรรม ที่เป็นกายรูปพรหมละเอียดก็อาศัยธรรมละเอียด ธรรมที่ทำให้เป็นพรหม ที่เป็น อรูปพรหมก็อาศัยธรรมของอรูปพรหม คือ อรูปฌาน ถึงละเอียดก็เช่นเดียวกัน ธรรมนะ เป็นอย่างไร สังขารเป็นอย่างไร ต่างกันหรือ ต่างกัน ไม่เหมือนกัน คนละอัน เขาเรียกว่า สังขารธรรมอย่างไรล่ะ นั่นอนุโลม ความจริง คือ ธรรมน่ะไม่ใช่ตัว ธรรมน่ะไม่ใช่ตัว เราจะ ค้นเข้าไปเท่าไรในตัวเรานี่แน่ะ ค้นเท่าไรๆ ก็ไปพบดวงธรรม
ดวงธรรมที่ทำให้เป็นมนุษย์ ใสบริสุทธิ์เท่าฟองไข่แดงของไก่ อยู่กลางกายมนุษย์ ใสนักทีเดียว ธรรมดวงนั้นแหละ เราได้มาด้วยกาย วาจา ใจบริสุทธิ์ ถ้าว่าไม่บริสุทธิ์แล้ว ไม่ได้ธรรมดวงนั้น ธรรมดวงนั้นเราเรียกว่าธรรมแท้
ธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ละอียด ก็ได้แบบเดียวกัน บริสุทธิ์ของมนุษย์ ธรรมที่ ทำให้เป็นมนุษย์ละเอียด ดวงโตขึ้นไปกว่าธรรมที่ทำให้เป็นมนุษย์เท่าตัว 2 เท่าฟองไข่แดง ของไก่
ธรรมที่ทำให้เป็นกายทิพย์ 3 เท่าฟองไข่แดงของไก่
ธรรมที่ทำให้เป็นกายทิพย์ละเอียด 4 เท่าฟองไข่แดงของไก่
ธรรมที่ทำให้เป็นกายรูปพรหมโตกว่าอีกเท่าหนึ่ง 5 เท่าฟองไข่แดงของไก่
ธรรมที่ทำให้เป็นรูปพรหมละเอียด ก็โตขึ้นไปอีกเท่าหนึ่ง อย่างเดียวกัน เป็นดวงใส อย่างเดียวกัน 6 เท่าฟองไข่แดงของไก่
ธรรมที่ทำให้เป็นกายอรูปพรหม โตขึ้นไปอีก 7 เท่าฟองไข่แดงของไก่
ธรรมที่ทำให้เป็นกายอรูปพรหมละเอียด โตขึ้นไปอีก 8 เท่าฟองไข่แดงของไก่
นั่นดวงนั้นเป็นธรรม พระพุทธเจ้าพระอรหันต์ที่ได้สำเร็จ ท่านเดินในกลางดวงธรรม นี้ทั้งนั้น เดินด้วยศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ ในกลางดวงธรรมนี่ทั้งนั้น ไม่เดินในกลางดวงธรรมนี้ สำเร็จไม่ได้ ไปถึงกายเป็นลำดับไปไม่ได้ ดวงธรรมนี้เป็นธรรม สำคัญ ท่านจึงได้ยืนยันว่า ธรรมทั้งปวงเหล่านี้ไม่ใช่ตัว แต่ธรรมถึงไม่ใช่ตัว ก็ธรรมนั่น แหละทำให้เป็นตัว ตัวอยู่อาศัยธรรมนั่นแหละ ตัวก็ต้องอาศัยดวงธรรมนั้นแหละ จึงจะมา เกิดได้ ถ้าไม่อาศัยดวงธรรมนั้น มาเกิดไม่ได้ กายมนุษย์ ดวงธรรมนั้นได้ด้วยบริสุทธิ์กาย วาจา ตลอดถึงใจ เป็นอัพโพหาริกไปด้วย บริสุทธิ์ด้วยกาย วาจา ใจ ได้ธรรมดวงนั้น ธรรม ที่ทำให้เป็นเทวดาทั้งหยาบทั้งละเอียด ต้องเติมทาน ศีล สุตตะ จาคะ ปัญญา ไปในความ บริสุทธิ์กาย วาจา ใจ อีก มันก็ได้ธรรมที่ทำให้เป็นกายเทวดาเป็นลำดับไปทั้งหยาบ ทั้งละเอียด ธรรมที่ทำให้เป็นพรหมละ ได้ด้วยรูปฌานทั้ง 4 ได้สำเร็จรูปฌานแล้ว ให้ สำเร็จธรรมที่ทำให้เป็นกายรูปพรหม ธรรมเป็นอรูปพรหมเล่า ทั้งหยาบทั้งละเอียด ก็ได้ด้วย อรูปฌาน อากาสานัญจายตนะ วิญญานัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน นั่นแหละสำหรับเติมลงไป ในธรรมที่ทำให้เป็นกายอรูปพรหม ในธรรมที่ ทำให้เป็นกายอรูปพรหมอีก จึงจะได้ธรรมที่ทำให้เป็นกายอรูปพรหมขึ้น ทั้งหยาบทั้งละเอียด ดังนี้
นี่แหละว่า ธรรมทั้งปวงมิใช่ตัว ไม่ใช่ตัวจริงๆ ตัวอยู่ที่ไหนล่ะ เออ! ธรรมทั้งปวง นี่ไม่ใช่ตัว แล้วตัวไปอยู่ที่ไหนละ ตัวก็ง่ายๆ กายมนุษย์นี่แหละเป็นตัว กายมนุษย์ละเอียด ก็เป็นตัว แต่เป็นตัวฝันออกไป กายทิพย์ก็เป็นตัว กายทิพย์ละเอียด ที่กายทิพย์นอนฝัน ออกไปก็เป็นตัว กายรูปพรหมก็เป็นตัว กายรูปพรหมละเอียดก็เป็นตัว กายอรูปพรหมก็เป็น ตัว แต่ว่าตัวสมมติ ไม่ใช่ตัววิมุตติ ตัวสมมติกันขึ้น เป็นตัวเข้าถึงกายธรรม กายธรรมก็เป็น ตัว เข้าถึงกายธรรมละเอียด กายธรรมละเอียดก็เป็นตัวอีกนั่นแหละ เป็นชั้นๆ ขึ้นไป นั่น เข้าถึงกายธรรม กายธรรมละเอียดก็เอาตัวที่เป็นโคตรภู เข้าถึงกายธรรมพระโสดา-พระโสดาละเอียด นั่นเป็นตัวแท้ๆ ตัวเป็นอริยะ เรียกว่า อริยบุคคล พระองค์ทรงรับรองแค่กายธรรม โคตรภูนี่ ภควโต สาวกสงฺโฆ พระสาวกของพระตถาคตของพระผู้มีพระภาค กายธรรม ที่เป็นโสดา-โสดาละเอียด, สกทาคา-สกทาคาละเอียด, อนาคา-อนาคาละเอียด, อรหัต-อรหัตละเอียด ทั้งมรรคทั้งผล นั่นเรียกว่า อริยบุคคล 8 จำพวก นั้นเรียกว่า อริยบุคคล
นี่แหละ ภควโต สาวกสงฺโฆ สาวกของเราตถาคต ท่านปราฏในโลก แล้วท่านที่ แสวงหาพวกนี้ ถ้าได้แล้วก็ต้องจัดเป็นพวกของท่านทีเดียว ถ้ายังไม่ถึงกระนั้นท่านลดลงมา ถ้าบุคคลผู้ใดได้ถึงกายธรรม กายธรรมละเอียดนั่นก็ ภควโต สาวกสงฺโฆ เหมือนกัน เรียกว่า พระพุทธชินสาวก ไม่ใช่อริยสาวก เป็นพระพุทธชินสาวก หรือปุถุชน ลดลงตามส่วนลงมา ตามนั้น ประพฤติดีถูกต้องร่องรอยที่จะเข้าถึงธรรมกาย-ธรรมกายละเอียดขึ้นไป ไม่ได้เคลื่อน เลยทีเดียว ทางนั้นไม่คลาดเคลื่อน ท่านก็อนุโลมเข้าเป็นพุทธชินสาวกด้วยเหมือนกัน หรือจะ ผลักเสียเลยไม่ได้ ถ้าผลักเสียเลยละก้อ ที่จะเป็นโคตรภู ธรรมกายละเอียดก็ไม่มีเหมือนกัน อาศัยความบริสุทธิ์ของพวกเราที่เป็นคฤหัสถ์บรรพชิต บริสุทธิ์จริงๆ นั่นเป็นปุถุชนสาวก ของพระบรมศาสดา นี่เป็นตำรับตำรา
บัดนี้ เราจะเป็นพระสาวกของพระศาสดาบ้าง ก็ต้องขาดจากใจนะ พิรุธจากกาย พิรุธจากวาจา ไม่ให้มีทีเดียว ให้บริสุทธิ์กาย บริสุทธิ์วาจา บริสุทธิ์ใจจริงๆ ด้วยใจของตน จะค้นลงไปสักเท่าไร ตัวเองจะค้นตัวเองลงไปเท่าไร หาความผิดทางกาย วาจา ใจ ไม่ได้ คนอื่นพิจารณาด้วยปัญญาสักเท่าหนึ่งเท่าใด ก็หาความผิดทางกาย วาจาไม่ได้ หรือท่านมี ปรจิตตวิชชา รู้วาระจิตของบุคคลผู้อื่น ให้พินิจพิจารณาค้นความพิรุธทางกาย วาจา ใจ ของบุคคลผู้บริสุทธิ์เช่นนั้นไม่ได้ นั้นเรียกว่าปุถุชนสาวก ถ้าว่าเข้าธรรมกายแล้ว เป็นโคตรภู ทีเดียว ไม่ใช่ปุถุชน ไม่ใช่อริยะ ที่จะถึงอริยะต้องอาศัยโคตรภู แต่ว่ายังกลับเป็นปุถุชนได้ ยังกลับเป็นโลกียชนได้ จึงได้ชื่อว่าโคตรภู ระหว่างปุถุชนกับพระอริยะต่อกัน ถ้าเข้าถึงโคตรภู แล้ว ที่จะเป็นโสดาก็เป็นไป ที่จะกลับมาเป็นปุถุชนก็กลับกลาย ที่จะเป็นโสดาก็ถึงนั้นก่อน จึงจะเป็นไปได้
เมื่อรู้จักหลักอันนี้นี่แหละ ท่านจึงได้วางบาลีว่า ผู้ใดเห็นตามปัญญาว่า ธรรมทั้งปวง ไม่ใช่ตัว เหมือนธรรมทั้งสิ้นไม่ใช่ตัว เมื่อนั้นย่อมเหนื่อยหน่ายในทุกข์ ไม่ใช่ตัวแล้วจะไปเพลิน อะไรกับมันเล่า มันของยืมเขามาหลอกๆ ลวงๆ อยู่อย่างนี้ เพลินไม่สนุก ปล่อยมัน อ้ายที่ ปล่อยไม่ได้ ก็เข้าใจว่าตัวเป็นของตัว จงปล่อยมัน เมื่อปล่อยแล้วนั่นแหละ หนทางหมดจด วิเศษ หนทางบริสุทธิ์ทีเดียว นั้นเป็นหนทางบริสุทธิ์แท้ๆ วิสุทฺธิ สพฺพเกฺลเสหิ ความหมดจด จากกิเลสทั้งหลาย วิสุทฺธิ สพฺพเกฺลเสหิ โหติ ทุกฺเขหิ นิพฺพุติ เจตโส โหติ สา สนฺติ ความ หมดจดจากกิเลสทั้งหลาย ความดับจากทุกข์ทั้งหลาย ทุกข์ดับไปแล้ว จิตก็สงบ หลุดไปจาก ทุกข์ทั้งหมด นิพฺพานมีติ วุจฺจติ นักปราชญ์กล่าวว่าเป็นความดับ คือนิพพาน แต่ว่าความ สงบนี่เป็นต้นของมรรคผลนิพพานทีเดียว ถ้าเข้าความหยุดความสงบไม่ได้ บรรลุมรรคผล ไม่ได้ ความหยุดความสงบเป็นเบื้องต้นมรรคผลนิพพานทีเดียว จะไปนิพพานได้ ต้องไปทางนี้ มีทางเดียว ทางสงบอันเดียวกันนี้แหละ ท่านจึงได้ยืนยันต่อไปว่า นตฺถิ สนฺติปรํ สุขํ สุขอื่น นอกจากหยุดจากนิ่งไม่มี หยุดนิ่งกันให้หมดทั้งสากลโลก ไม่เอาธุระ นั่นเป็นทางบริสุทธิ์ นั่น เป็นทางไปสู่มรรคผลนิพพานแท้ๆ รู้แน่เช่นนี้แล้ว ย่อสั้นลงไป ท่านจึงได้ยืนยันว่า เย จ โข สมฺมทกฺขาเต ธมฺเม ธมฺมานุวตฺติโน เต ชนา ปารเมสฺสนฺติ มจฺจุเธยฺยํ สุทุตฺตรํ ก็ชนเหล่าใด ประพฤติตามธรรม ในธรรมที่พระตถาคตเจ้ากล่าวดีแล้ว ชนทั้งหลายเหล่านั้นจักถึงฝั่ง คือ นิพพาน อันเป็นที่ตั้งของมัจจุสุดจะข้ามได้ คือนิพพานนั่นเอง ชนทั้งหลายเหล่านั้นจักถึงซึ่ง ฝั่งอันเป็นที่ตั้งแห่งมัจจุ สุทุตฺตรํ แสนยากที่จะข้ามได้ ในสากลโลกที่จะข้ามไปถึงฝั่ง นิพพาน นะ แสนยาก ไม่ใช่เป็นของง่ายเลย
พระพุทธเจ้าทรงสร้างบารมี 4 อสงไขยแสนกัปป์ 8 อสงไขยแสนกัปป์ 16 อสงไขย แสนกัปป์ จึงจะข้ามวัฏฏสงสารได้ ถ้าคนข้ามได้บ้าง ก็แสนยากที่ข้ามได้ ท่านจึงได้วางตำรา ไว้เป็นเนติแบบแผนไปเป็นลำดับๆ แต่ว่าในท้ายพระคาถา กณฺหํ ธมฺมํ วิปฺปหาย สุกฺกํ ภาเวถ ปณฺฑิโต บัณฑิตผู้มีปัญญาละธรรมดำเสีย ไม่ประพฤติเลยทีเดียว ยังธรรมขาวให้ เจริญขึ้น เด็ดขาดลงไป เหมือนภิกษุสามเณร อุบาสกอุบาสิก พอบวชเป็นพระเป็นเณร ขาดจากใจ ความชั่วไม่ทำเลย ถ้าว่าชีวิตตายเป็นตายกัน ชีวิตจะดับดับไป ทำความดีร่ำไป นี่พวกละธรรมดำ ประพฤติธรรมขาวแท้ๆ
อุบาสกอุบาสิกล่ะ เมื่อจะเป็นอุบาสกอุบาสิกาดีๆ แท้ๆ นะ พอเริ่มเป็นอุบาสก อุบาสิกา ก็ขาดจากใจ ความชั่วกาย วาจา ใจ ละเด็ดขาด ไม่ทำ ชีวิตดับๆ ไป เอาความ บริสุทธิ์ใส่ลงไป เอาความบริสุทธิ์ใส่ได้ไปสวรรค์ ไม่ต้องทุกข์กับใคร แน่นอนใจทีเดียว นี้ อย่างชนิดนี้ ละธรรมดำเสีย ยังธรรมขาวให้เจริญขึ้น นี่พระโพธิสัตว์เจ้าสร้างบารมีเป็นสอง ชาติดังนี้ ละธรรมดำจริงๆ เจริญธรรมขาวจริงๆ ไม่ยักเยื้องแปรผันไป
ตามวาระพระบาลีว่าคาถาข้างหลังรับรองไว้ สทฺธาย สีเลน จ ยา ปวฑฺฒติ ปญฺญาย จาเคน สุเตน จูภยํ สา ตาทิสี สีลวตี อุปาสิกา อาทิยตี สารมิเทว อตฺตโน อุปาสิกาใดเจริญ ด้วยศรัทธา ความเชื่อมั่นในขันธสันดาน ละชั่วขาดแล้ว ไม่กลับกลอกแล้ว เหลือแต่ดีแล้ว ฝ่ายเดียวแล้ว เจริญด้วยศีล เจริญด้วยปัญญา และเจริญด้วยจาคะ เจริญด้วยสุตะ นี่ก็ เป็นฝ่ายดี อุบาสิกานั้นชื่อว่าประพฤติเป็นระเบียบเรียบร้อยดี มั่นในพระรัตนตรัยแท้ มั่นใน พระรัตนตรัย อาทิยตี สารมิเทว อตฺตโน ยึดแก่นสารของตนไว้ได้
ตรงนี้หลักต้องจำไว้ ยึดไว้ให้มั่นเชียว ไม่ให้คลาดเคลื่อนได้ ชีรนฺติ เว ราชรถา สุจิตฺตา อโถ สรีรมฺปิ ชรํ อุเปติ สตญฺจ ธมฺโม น ชรํ อุเปติ ปุญฺญานิ กยิราถ สุขาวหานิ ราชรถอันงดงามย่อมถึงซึ่งความเสื่อมทรามไป แม้สรีระร่างกายของเราท่านทั้งหลายนี้ละ สรีระร่างกายก็ย่อมเข้าถึงความทรุดโทรม ไม่ยักเยื้องแปรผันไปข้างไหน ทรุดโทรมหมด เหมือนกัน หมดเป็นลำดับๆ ไป ย่อมเข้าถึงซึ่งความทรุดโทรม ธรรมของสัตบุรุษย่อมหาเข้า ถึงซึ่งความทรุดโทรมไม่ ดำรงคงที่อยู่ดังกล่าวมาแล้วนั้นเป็นธรรมของสัตตบุรุษ ไม่ถึงซึ่ง ความทรุดโทรม ไม่สลาย ไม่เสียหาย ไม่เข้าถึงซึ่งความทรุดโทรม เมื่อรู้ชัดเช่นนี้ ควร กระทำเถิดซึ่งบุญ ควรกระทำเถิดซึ่งบุญทั้งหลาย สุขาวหานิ อันนำความสุขมาให้ เมื่อทำ บุญทั้งหลายแล้วนำความสุขมาให้ อจฺเจนฺติ กาลา กาลย่อมผ่านไป ตรยนฺติ รตฺติโย ราตรี ก็ย่อมล่วงไป วันก็ผ่านไป วโยคุณา อนุปุพฺพํ ชหนฺติ กาลผ่านไป ราตรีย่อมล่วงไป ชั้นของ วัยย่อมละลำดับไป ชั้นของวัยเป็นไฉน เด็กเล็กๆ ละลำดับเด็กเรื่อยมา เป็นคนโตๆ เป็น ลำดับมา หนุ่มสาวละเป็นลำดับมา แก่เฒ่าละเป็นลำดับมา อีกหน่อยก็หมด ละลำดับอย่างนี้ มาเรื่อย เหมือนอย่างกาลเวลาล่วงไปไม่กลับมา กาลเวลานะ อดีตกาลปีที่ล่วงไปแล้ว ปัจจุบันกาลปีที่เป็นปัจจุบันนี้ อนาคตกาลปีที่จะมีมาข้างหน้า ผ่านไปหมด นี่แหละกาลผ่าน ไป วันเวลาวันนี้ผ่านไปบ้างแล้ว ผ่านไปแล้วเป็นอดีตที่กำลังปรากฏ ฟังเทศน์อยู่นี้เป็น ปัจจุบัน วันที่จะมีมาข้างหน้าเป็นอนาคต นั่นแหละเรียกว่ากาลเวลาผ่านไปๆ ราตรีล่วงไป วันหนึ่งคืนหนึ่งผ่านไป ไม่ถอยกลับมาเลย ชั้นของวัยเด็กเล็กๆ เป็นหนุ่มสาว เป็นแก่เป็น เฒ่า ก็ละลำดับเรื่อยไป ไม่ได้หยุดอยู่เลยสักนิด ไม่รอใครเลย เอ็งจะรออย่างไรก็ตามเถิด ข้าไม่รอเจ้า ความจริงเป็นอย่างนี้ ก็ต้องละลำดับไป เอตํ ภยํ มรเณ เปกฺขมาโน ผู้มีปัญญา เห็นเหตุนั้น เป็นภัยในความตายทีเดียว ไอ้กาลเวลาผ่านไป ราตรีล่วงไป ชั้นของวัยละลำดับ ไป นั้นเป็นภัยในความตายเทียวนะ ตัวตายทีเดียว ไม่ใช่ตัวอื่นละ เมื่อรู้ชัดเช่นนี้ เมื่อรู้ชัด จริงลงไปเช่นนี้แล้ว อย่ามุ่งอื่น มุ่งแต่บำเพ็ญการกุศลไปที่จะนำความสุขมาให้แท้ๆ ไม่ต้องไป สงสัย เอตฺตกานมฺปิ ปาฐานํ อตฺถํ อญฺญาย สาธุกํ ปฏิปชฺเชถ เมธาวี อโมฆํ ชีวิตํ ยถา ผู้มี ปัญญาได้รู้เนื้อความของบาลีแม้เพียงเท่านี้ก็ดีแล้ว พึงปฏิบัติชีวิตตนที่ยังประโยชน์ให้สำเร็จ ผู้มีปัญญารู้ความของบาลีเพียงเท่านี้ก็ดีแล้ว พึงปฏิบัติชีวิตของตนไม่ให้ไร้ประโยชน์ พึง ปฏิบัติตามเป็นอยู่ของตนในวันหนึ่งๆ ให้มีประโยชน์อยู่ร่ำไป ไม่ให้ไร้ประโยชน์ ถ้าปล่อย ความเป็นอยู่ของตนให้ไร้ประโยชน์ละก้อ เป็นลูกศิษย์พญามาร เป็นบ่าวของพญามาร ไม่ใช่ เป็นลูกศิษย์พระ บ่าวพระ เป็นลูกพญามาร เป็นบ่าวพญามาร พึงปฏิบัติชีวิตของตนไม่ให้ ไร้ประโยชน์ ไม่ให้เปล่าประโยชน์จากประโยชน์ทีเดียว ให้มีประโยชน์อยู่เสมอ ในความบริสุทธิ์ ในธรรมที่ขาวอยู่เสมอไป ไม่ให้คลาดเคลื่อน นี่พระองค์ได้เตือนเราท่านทั้งหลาย แม้เสด็จ ดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้วตั้งนาน ก็ยังเตือนเราท่านทั้งหลายอยู่ชัดๆ อย่างนี้ เราพึงปฏิบัติ ตามเถิด สมกับพบพระบรมศาสดา
ที่ได้ชี้แจงแสดงมาตามวาระพระบาลี คลี่ความเป็นสยามภาษา ตามมตยาธิบาย พอ สมควรแก่เวลา เอเตน สจฺจวชฺเชน ด้วยอำนาจความสัตย์ที่อ้างธรรมปฏิบัติมาตั้งแต่ต้นจน อวสานนี้ สทา โสตฺถี ภวนฺตุ เต ขอความสุขสวัสดีจงบังเกิดมีแก่ท่านทั้งหลาย บรรดามา สโมสรในสถานที่นี้ทุกถ้วนหน้า อาตมภาพชี้แจงแสดงมาพอสมควรแก่เวลา สมมติยุติธรรมีกถาเพียงเท่านี้ เอวํ ก็มีด้วยประการฉะนี้.
เจริญธรรม

ธรรมรักษาผู้ประพฤติธรรม


 
ธรรมรักษาผู้ประพฤติธรรม
พระธรรมเทศนา
โดย
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร)
12 มกราคม 2497
ธรรมรักษาผู้ประพฤติธรรม

นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส. (
3 หน)
ธมฺโม หเว รกฺขติ ธมฺมจารึ
ธมฺโม สุจิณฺโณ สุขมาวหาติ
เอสานิสํโส ธมฺเม สุจิณฺเณ
น ทุคฺคตึ คจฺฉติ ธมฺมจารีติ.
มากอยู่แล้วพวกที่ปฏิบัติใช้ได้ทีเดียว  ที่ใช้ไม่ได้อย่างสูงนั้น  ผู้เทศน์ต้องคอยคุม   ถ้าไม่คุมละก้อ ไปสูงไม่ได้  มารมันปัดลงต่ำเสีย   มันแนะนำให้วางเป้าหมายใจดำเสีย  ไม่จรดอยู่ที่เป้าหมายใจดำ   ที่ผู้เทศน์คอยคุมไว้ละก้อ  ถูกเป้าหมายใจดำ    ตรงกันข้ามกับพวกพญามาร  ถ้าว่าไม่คุมไว้แล้ว  เป็นลูกศิษย์พญามารเสียแล้ว  มารเอาไปใช้เสียแล้วอย่างนี้มาก   เหตุนั้นเมื่อมาพบของจริงเช่นนี้แล้ว  ทั้งพระ ทั้งเณร ทั้งอุบาสก อุบาสิกา ควรปล่อยชีวิต  ค้นเอาของจริง   รักษาของจริงไว้ให้ได้   เมื่อได้แล้วละก็  จะยิ้มในใจของตัวอยู่เสมอไป   ไม่มีความเดือดร้อนใดๆ
ณ บัดนี้ อาตมภาพจักได้แสดงธรรมีกถา ว่าด้วย ธรรมรักษาผู้ประพฤติธรรม    ตามวาระพระบาลีคลี่ความเป็นสยามภาษา  ตามมตยาธิบาย  กว่าจะยุติลงโดยสมควรแก่เวลา 
เริ่มต้นแห่งธรรมที่รักษาผู้ประพฤติธรรม  ตามวาระพระบาลีว่า ธมฺโม หเว รกฺขติ ธมฺมจารึ ธรรมนั่นแลย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม    ธมฺโม สุจิณฺโน สุขมาวหาติ ธรรมที่บุคคลสั่งสมไว้ดีแล้ว  นำความสุขมาให้   เอสานิสํโส ธมฺเม สุจิณฺเณ ข้อนี้แหละเป็นอานิสงส์ในธรรม   น ทุคฺคตึ คจฺฉติ ธมฺมจารี ผู้ประพฤติธรรมดีเรียบร้อยไม่ไปสู่ทุคติ    นี่เนื้อความของพระบาลี คลี่ความเป็นสยามภาษาได้ความเพียงแค่นี้
ต่อแต่นี้จะอรรถาธิบายขยายความว่า   ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรมนั้นเป็นไฉน   เพราะธรรมคือความดี  จะขีดขั้นลงไปเพียงแค่ไหน   ความดีไม่มีความชั่วเข้าเจือปนเลย   นี่ก็เป็นโลกุตตรธรรมแท้ๆ  ข้ามขึ้นจากโลก  เป็นวิราคธาตุวิราคธรรมแท้ๆ  ไม่เกี่ยวข้องด้วยสราคธาตุ สราคธรรมทีเดียว   นี้ส่วนหนึ่ง คำว่าธรรมแยกออกเป็นหลายประการ   ท่านแสดงไว้เป็นหลักเป็นประธาน  แก้ในศัพท์ว่าธรรม  ธมฺโม คำว่าธรรมนั้นแยกออกไปถึง 4 คือ คุณธรรม เทศนาธรรม ปริยัติธรรม นิสสัตตนิชชีวธรรม   แยกออกไปเป็น 4
1.     คุณธรรมให้ผลตามกาล   ฝ่ายดีก็ให้ผลเป็นสุข  ฝ่ายชั่วก็ให้ผลเป็นทุกข์   นี้ก็เป็นคุณธรรมฝ่ายดีฝ่ายชั่ว  หรือดีฝ่ายเดียวให้ผลเป็นสุขฝ่ายเดียวนั้นก็เรียกว่าคุณธรรม
2.     เทศนาธรรมที่พระองค์ตรัสเทศนา  ไพเราะในเบื้องต้น  ไพเราะในท่ามกลาง  ไพเราะในเบื้องปลาย  ท่านวางหลักไว้   ไพเราะในเบื้องต้นคือศีล  บริสุทธิ์กายวาจาเรียบร้อยดีไม่มีโทษ  ตลอดจนกระทั่งถึงดวงศีล   ไพเราะในท่ามกลางคือสมาธิ ตลอดจนกระทั่งถึงดวงสมาธิ   ไพเราะในเบื้องปลายคือปัญญา ตลอดจนกระทั่งถึงดวงปัญญา นี้ก็คือเทศนาธรรม
3.     ปริยัติธรรม ข้อปฏิบัติอันกุลบุตรจะพึงเล่าเรียนศึกษา  ตั้งต้นแต่นักธรรมตรี-โท-เอก เปรียญ 3-4-5-6-7-8-9 หลักสูตรวางไว้ในประเทศไทย    การศึกษาปริยัติธรรมมีเท่านี้  นี่ที่เรียกว่าปริยัติธรรม
4.     นิสสัตตนิชชีวธรรม   ยกเอารูปออกเสีย  กับวิญญาณออกเสีย   เหลือแต่เวทนา สัญญา สังขาร 3 อย่างนี้ท่านจัดเป็นนิสสัตตนิชชีวธรรม  ไม่ใช่สัตว์ไม่ใช่ชีวิต  แสดงหลักไว้ดังนี้
แสดงธรรมออกไปเป็น 4 คือ คุณธรรม เทศนาธรรม ปริยัติธรรม นิสสัตตนิชชีวธรรม แสดง 4 ดังนี้ ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม   แต่คำว่าธรรมนี้ แสดงตามแบบปริยัติ   ไม่ใช่หนทางปฏิบัติ   แบบทางปฏิบัติ ศาสนามี 3 ทาง คือ ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ
ถ้าแบบทางปฏิบัติ   คำว่าธรรม  กล่าวถึงดวงธรรมทีเดียว   ดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์  ใสบริสุทธิ์เท่าฟองไข่แดงของไก่  เป็นดวงธรรมทีเดียว  เป็นธรรมแท้ๆ  ธรรมที่ทำให้เป็นมนุษย์-มนุษย์ละเอียด   กายทิพย์-กายทิพย์ละเอียด   กายรูปพรหม-กายรูปพรหมละเอียด   กายอรูปพรหม-กายอรูปพรหมละเอียด   กายธรรม-กายธรรมละเอียด   กายโสดา-กายโสดาละเอียด   สกทาคา-สกทาคาละเอียด   อนาคา-อนาคาละเอียด  อรหัต-อรหัตละเอียด  เรียกว่า ธมฺโม  นี่ทางปฏิบัติ   เป็นดวงใสบริสุทธิ์   ธรรมดวงนั้นเป็นธรรมสำคัญ  ทว่าหลักก็ธรรม  อันนั้นเป็นธรรมทีเดียว
ธรรมนั้นถ้าว่าจะแยกออกไป   ธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ที่จะได้ธรรมดวงนั้นมา   ต้องกล่าวเริ่มแรก  มนุษย์หญิงชายทุกถ้วนหน้า   ทั้งคฤหัสถ์ บรรพชิต บริสุทธิ์สนิททั้งกาย วาจา จิต  ไม่มีผิดจากความประสงค์ของพระพุทธเจ้าอรหันต์เลย  บริสุทธิ์สนิททั้งกาย วาจา จิต ไม่ฆ่าสัตว์  แต่เวทนาปรานีต่อสัตว์   ลักทรัพย์สมบัติก็ไม่มี   มีแต่ให้สมบัติของตนแก่คนอื่น   ประพฤติล่วงผิดในกามก็ไม่มี  หรือประพฤติล่วงอสัทธรรมประเพณีก็ไม่มีดังนี้   สนิททีเดียว  พูดจริงทุกคำไม่มีปด  เสพสุรายาเมาเป็นที่ตั้งของความประมาทไม่มี    วัตถุที่ทำให้เมาเป็นที่ตั้งของความประมาทก็ไม่ใช้สอย  ในศีลทั้ง 5 นี้ตลอด  ศีล 8 ศีล 10 ศีล 227 ตลอด   สะอาดสะอ้านทั้งกาย   กายก็ไม่มีร่องเสีย   วาจาก็ไม่มีร่องเสีย  ใจก็ไม่มีร่องเสีย  ใช้ได้ทั้งกาย วาจา ใจ ตรงกับบาลีกล่าวไว้ว่า
  • สพฺพปาปสฺส อกรณํ ชั่วด้วยกาย วาจา ใจ ไม่กระทำเป็นเด็ดขาด
  • กุสลสฺสูปสมฺปทา ดีด้วยกาย วาจา ใจ ทำจนสุดสามารถ
  • สจิตฺตปริโยทปนํ ทำใจของตนให้ผ่องใส
อันนี้เมื่อบริสุทธิ์ทั้งกาย วาจา ใจ ไม่มีร่องเสียแล้ว  นี้เรียกว่าธรรมโดยทางปริยัติ   ยังไม่ใช่ทางปฏิบัติ ถ้ากลั่นเข้ามาถึงเจตนา   เจตนาก็บริสุทธิ์  บังคับกายบริสุทธิ์  บังคับวาจาบริสุทธิ์  บังคับใจบริสุทธิ์  นั่นก็เป็นทางปริยัติอยู่เลย   ยังไม่ใช่ทางปฏิบัติ   เข้าถึงทางปฏิบัติ เข้าถึงดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์  สำเร็จมาจากบริสุทธิ์กาย วาจา ใจ  สำเร็จมาจากบริสุทธิ์ เจตนา เป็นดวงใสเท่าฟองไข่แดงของไก่  ใสเป็นกระจกส่องเงาหน้า  เท่าฟองไข่แดงของไก่   นี่  ธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์เป็นดวงๆ  ไปอย่างนี้  
  • ธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ละเอียดโตขึ้นไปอีกเท่าหนึ่ง
  • ธรรมที่ทำให้เป็นกายทิพย์โตขึ้นไปอีกเท่าหนึ่ง
  • ธรรมที่ทำให้เป็นกายทิพย์ละเอียดโตขึ้นไปอีกเท่าหนึ่ง
  • ธรรมที่ทำให้เป็นกายรูปพรหมโตขึ้นไปอีกเท่าหนึ่ง
  • ธรรมที่ทำให้เป็นกายรูปพรหมละเอียดโตขึ้นไปอีกเท่าหนึ่ง
  • ธรรมที่ทำให้เป็นกายอรูปพรหมโตขึ้นไปอีกเท่าหนึ่ง
  • ธรรมที่ทำให้เป็นกายอรูปพรหมละเอียดโตขึ้นไปอีกเท่าหนึ่งเป็น 8 เท่าฟองไข่แดงของไก่นั้น  เรียกว่าเป็นธรรมทั้งนั้น
  • ธรรมที่ทำให้เป็นกายธรรมหน้าตักวัดผ่าเส้นศูนย์กลาง กลมรอบตัว
  • ธรรมที่ทำให้เป็นกายธรรมละเอียดโตขึ้นไปอีก 5 วา
  • ธรรมที่ทำให้เป็นกายพระโสดา 5 วา กลมรอบตัว
  • ธรรมที่ทำให้เป็นกายพระโสดาละเอียด 10 วา  กลมรอบตัว
  • ธรรมที่ทำให้เป็นกายพระสกทาคา 10 วา กลมรอบตัว
  • ธรรมที่ทำให้เป็นกายพระสกทาคาละเอียด 15 วา กลมรอบตัว
  • ธรรมที่ทำให้เป็นกายพระอนาคา 15 วา กลมรอบตัว
  • ธรรมที่ทำให้เป็นกายพระอนาคาละเอียด 20 วา กลมรอบตัว
  • ธรรมที่ทำให้เป็นกายพระอรหัต 20 วา กลมรอบตัว เป็นลำดับกันไปอย่างนี้
นั้นแหละเรียกว่า ธมฺโม ลึกอย่างนี้ นี่ทางปฏิบัติเห็นปรากฏชัด  เข้าถึงธรรมดังกล่าวแล้วนี้ ตั้งแต่ดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ ไปจนกระทั่งถึงธรรมที่ทำให้เป็นกายพระอรหัตทีเดียว  นั่นแหละคำที่เรียกว่า ธมฺโม ละ   นั่นแหละธาตุธรรมอันนั้นแหละรักษาผู้ประพฤติธรรมละ  ถ้าเห็นเข้าแล้วก็รักษาผู้นั้นไม่ให้ตกไปในที่ชั่ว   อย่าทิ้งท่านก็แล้วกัน   อย่าผละจากท่าน   ถ้าว่าห่างจากธรรมนั้นไม่รับรอง   ถ้าติดอยู่กับธรรมนั้น รับรองทีเดียว ทั้งกาย วาจา ใจ บริสุทธิ์  ไม่มีร่องเสียกัน เสียไม่มีกัน   ถ้าว่าไปเสียเข้าดวงธรรมนั้นเศร้าหมอง ขุ่นมัว ไม่ผ่องใส   ลงโทษเอาเจ้าของผู้ประพฤติผู้กระทำ  ถ้าไม่ล่วงล้ำแต่อย่างหนึ่งอย่างใดสะอาดสะอ้าน ก็ใสหนักขึ้นทุกที   ใจหยุดนิ่งหนักขึ้น ใสหนักขึ้น นั่นแหละ    ธมฺโม ละ คำที่เรียกว่าธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรมดวงนั้น    ธมฺโม หเว รกฺขติ ธมฺมจารึ ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรมดวงนั้น
เมื่อเข้าใจดังนี้แล้วจะแสดงต่อไป   ธมฺโม สุจิณฺโณ สุขมาวหาติ ธรรมดวงนั้นแหละ   ถ้าว่าสั่งสมได้ดีแล้วสะอาดหนักขึ้น เสมอตัว   สะอาดหนักขึ้นใสหนักขึ้น เสมอตัว   ใสไปแค่ไหน เสมอตัวไปแค่นั้น  ใสหนักขึ้นไปแล้วเสมอตัวไปแค่นั้น    ใสหนักขึ้นไปเสมอตัวไปแค่นั้นอีก   อย่างขนาดอย่างนี้เรียกว่าสั่งสมดีจริง ธรรมอันบุคคลสั่งสมดีแล้ว   สุขาวหาติ นำความสุขมาให้  ถ้าอยู่กับใครขนาดนี้ ใจก็เบิกบานรื่นเริงบันเทิงชื่นแช่มแจ่มใส   ไม่มีความทุกข์เศร้าหมองขุ่นมัวใดๆ  เพราะธรรมนั้นนำความสุขมาให้  นี่หลักของธรรมที่แสดงไว้แค่นี้   เอสานิสํโส ธมฺเม สุจิณฺเณ นี้เป็นอานิสงส์ในธรรมที่ประพฤติดี  ประพฤติดีขนาดนี้ก็ได้อานิสงส์ในธรรมที่ประพฤติดี   ประพฤติดีขนาดนี้ก็ได้อานิสงส์แล้วก็เป็นสุขทีเดียว    น ทุคฺคตึ คจฺฉติ ธมฺมจารี ประพฤติไปอย่างนั้น มั่นคงอย่างนั้น ไม่ไปสู่ทุคติ    ผู้ประพฤติเรียบร้อยเช่นนั้นดี สะอาดสะอ้านเช่นนั้น ไม่ไปสู่ทุคติเด็ดขาดทีเดียว   ตายแล้วก็ไปสู่สวรรค์  เป็นมนุษย์อยู่ก็ไม่ได้รับทุคคติ มีแต่ สุคติฝ่ายเดียว  นี่แหละเลือกเอาเถอะ   ให้รู้จักหลักจริงอย่างนี้   
รู้จักหลักจริงอันนี้ เราเป็นภิกษุก็ดี สามเณรก็ดี อุบาสกก็ดี อุบาสิกาก็ดี  ประพฤติดีจริงตรงเป้าหมายใจดำ   [ถ้า] เห็นดวงแก้วใสเช่นนี้ ไม่ค่อยจะได้ ภิกษุหรือสามเณรก็เลอะเลือนไป  อุบาสกอุบาสิกาก็เหลวไหลไป ไม่อยู่กับธรรมเนืองนิตย์   ความสุขเราปรารถนานัก แต่ว่าความประพฤติไขว้เขวไปเสียอย่างนี้   อย่างนี้หลอกตัวเองนี่    ถ้าลงหลอกตัวเองได้  มันก็โกงคนอื่นเท่านั้น  ไม่ต้องไปสงสัย
หลอกตัวเองเป็นอย่างไร   ตัวอยากได้ความสุข   แต่ไปประพฤติทางทุกข์เสีย   มันก็หลอกตัวเองอยู่อย่างนี้ละซิ  ตัวเองอยากได้ความสุขแต่ความประพฤตินั่นหลอกตัวเองเสีย   ไปทางทุกข์เสีย   มันหลอกอยู่อย่างนี้นี่   ใครเข้าใกล้ มันก็โกง  โกงทุกเหลี่ยมนั่นแหละ   ถ้าลงหลอกตัวเองได้   มันก็โกงคนอื่นได้  ไว้ใจไม่ได้ทีเดียว  เหตุนี้พุทธศาสนาท่านตรง   ตรงตามท่านละก้อ   มรรคผลไม่ไปไหน อยู่ในเงื้อมมือ  อยู่ในกำมือทีเดียว  พุทธศาสนาท่านตรง  แต่ว่าผู้ปฏิบัติไม่ตรงตามพุทธศาสนา   มันก็หลอกลวงตัวเอง  โกงคนอื่นเท่านั้น  นี่หลักจริงเป็นอย่างนี้   ให้จำไว้ให้มั่น  ท่านได้ยืนยันอีกในอัคคัปปสาทสูตร ว่า  
อคฺคโต เว ปสนฺนานํ           อคฺคํ ธมฺมํ วิชานตํ
อคฺเค พุทฺเธ ปสนฺนานํ          ทกฺขิเณยฺเย อนุตฺตเร
อคฺเค ธมฺเม ปสนฺนานํ          วิราคูปสเม สุเข
อคฺเค สงฺเฆ ปสนฺนานํ           ปุญฺญกฺเขตฺเต อนุตฺตเร
อคฺคสฺมึ ทานํ ททตํ          อคฺคํ ปุญฺญํ ปวฑฺฒติ
อคฺคํ อายุ จ วณฺโณ จ           ยโส กิตฺติ สุขํ พลํ
อคฺคสฺส ทาตา เมธาวี          อคฺคธมฺมสมาหิโต
เทวภูโต มนุสฺโส วา          อคฺคปฺปตฺโต ปโมทตีติ.

นี่วางหลักอีกหลักหนึ่ง  แปลเป็นภาษไทยว่า   เมื่อบุคคลรู้จักธรรมอันเลิศ  เลื่อมใสแล้วด้วยความเป็นของเลิศ เลิศอย่างไร ?   รู้จักธรรมอันเลิศนั้น  ธรรมอะไร ?   ธรรมอันเลิศคือธรรมที่แสดงมาแล้วเป็นธรรมอันเลิศทั้งนั้น  ถ้าว่าเลื่อมใสโดยความเป็นของเลิศ  ไม่ปล่อยไม่วางไม่ละกันละ  เข้าถึงก็จรด  ไม่ปล่อยไม่วางกันละ  จรดไม่วางไม่ปล่อย   วางกึกลงไปตั้งแต่กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์   ดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ละเอียดเรื่อยเข้าไป   จนกระทั่งได้ขึ้นไปถึงแค่ไหน   ดวงไหนไม่ปล่อยไม่ละกันละ ใจจรดอยู่กลางดวงนั่นแหละ  ถ้าจรดอยู่ขณะนั้นละก้อ  เลื่อมใสโดยความเป็นของเลิศละ   ของเลิศก็ต้องไม่ปล่อย  ถ้าปล่อยมันก็ไม่เลิศ  ไม่ปล่อยกันละ  คว้ากันแน่นทีเดียวดวงนั้น   ตลอดตั้งแต่ดวงต้นจนกระทั่งถึงดวงพระอรหัต  ได้แค่ไหนยึดแค่นั้น  มั่นเป็นขั้นๆ ไป   เมื่อรู้จักธรรมอันเลิศ   เลื่อมใสแล้วโดยความเป็นของเลิศ   ทีนี้ก็เป็นชั้นๆ ไป
อคฺเค พุทฺเธ ปสนฺนานํ  ทกฺขิเณยฺเย อนุตฺตเร เลื่อมใสในพระพุทธเจ้าผู้เลิศ คือ ธรรมกายทีเดียว ธรรมกายโคตรภู-ธรรมกายโคตรภูละเอียด   ธรรมกายโสดา-โสดาละเอียด   ธรรมกายสกทาคา-สกทาคาละเอียด   ธรรมกายอนาคา-อนาคาละเอียด   ธรรมกายอรหัต- อรหัตละเอียด  นั่นแหละ ธรรมกายนั่นแหละพระพุทธเจ้าผู้เลิศละ  เลื่อมใสแล้วในพระพุทธเจ้านั้น   เลื่อมใสในพระพุทธเจ้าผู้เลิศ ทกฺขิเณยฺเย อนุตฺตเร   ซึ่งเป็นทักขิไณยบุคคลอย่างยอดเยี่ยม  ทักขิไณยบุคคลเป็นอย่างไร  ถ้าใครได้ไปทำบุญทำกุศลกับท่านเข้า   ผลได้ในปัจจุบันทันตาเห็น  ได้เป็นเศรษฐีคหบดีทีเดียว  ได้เป็นกษัตริย์เศรษฐีทีเดียว  ได้สมบัติในปัจจุบันทันตาเห็นทีเดียว  นั่นแหละเป็นทักขิไณยบุคคลอย่างยอดเยี่ยมอย่างนั้น
อคฺเค ธมฺเม ปสนฺนานํ เลื่อมใสในธรรมอันเลิศ    วิราคูปสเม สุเข ซึ่งเป็นธรรมปราศจากยินดี  สงบสุข  สงบเป็นสุข  นั่นแหละ  ดวงนั้นตลอดขึ้นไปนั่นแหละ    อคฺเค ธมฺเม ปสนฺนานํ เลื่อมใสในธรรมอันเลิศ ซึ่งเป็นธรรมอันปราศจากกำหนัดยินดีสงบสุข   เมื่อเข้าไปอยู่ในกลาง ดวงนั้นแล้ว หมดความกำหนัดยินดี  สงบ ระงับ เป็นสุขแสนสุขทีเดียว  ทุกดวงไป ตั้งต้นแต่ดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์  เมื่ออยู่กลางดวงนั้นแล้วความกำหนัดยินดีไม่มี  สงบ ระงับ  เป็นสุขทีเดียว   ถ้าว่าต้องการสุขละก้อ ไปอยู่นั่น  ถ้าว่าต้องการทุกข์ละก้อ  ออกมาเสีย   ก็ได้รับทุกข์   ต้องการสุขก็เข้าไปอยู่กลางดวงธรรมนั่น ทุกดวงไปเป็นสุขแบบเดียวกันหมด  ที่ปรากฏว่า วิราคูปสเม สุเข ซึ่งเป็นธรรมปราศจากยินดี สงบระงับ เป็นสุข
อคฺเค สงฺเฆ ปสนฺนานํ เลื่อมใสในพระสงฆ์อันเลิศ   ธรรมกายละเอียด กายมนุษย์ละเอียด-กายทิพย์ละเอียด กายรูปพรหมละเอียด-กายอรูปพรหมละเอียด   นี่เป็นหมู่ของชน  เป็นหมู่ของมนุษย์    ธรรมกายละเอียดของโคตรภู ธรรมกายละเอียดของโสดา   ธรรมกายละเอียดของสกทาคา  ธรรมกายละเอียดของอนาคา  ธรรมกายละเอียดของพระอรหัตนี่แหละ  อคฺเค สงฺเฆ ปสนฺนานํ เลื่อมใสในพระสงฆ์อันเลิศ   ปุญฺญกฺเขตฺเต อนุตฺตเร ซึ่งเป็นบุญเขตอย่างยอด   พระสงฆ์เป็นบุญเขตอย่างยอด   ถ้าใครได้บริจาคกับพระสงฆ์หรือได้ไปเลื่อมใสใน  พระสงฆ์เข้าก็ได้ผลปัจจุบันได้ผลเป็นมหัศจรรย์ทีเดียว   เป็นทักขิไณยบุคคลอย่างยอด  อคฺคสฺมึ ทานํ ททตํ ได้ถวายทานในท่านผู้เลิศแล้ว  อคฺคํ ปุญฺญํ ปวฑฺฒติ บุญอันเลิศย่อมเจริญ   ได้ถวายทานในพระพุทธเจ้า  ได้ถวายทานในธรรม   ได้ถวายทานในพระสงฆ์   ในท่านผู้เลิศเหล่านั้น   บุญอันเลิศย่อมเจริญ  ได้สมบัติปัจจุบันทันตาเห็น  ไม่อย่างนั้นละโลกนี้ไปแล้วก็ได้สมบัติในเทวโลก พรหมโลก สมมาดปรารถนา ได้ผลทีเดียว    อคฺคํ อายุ จ วณฺโณ จ ยโส กิตฺติ สุขํ พลํ อายุ วรรณะ  อายุ คือมีอายุยืน  วรรณะ ผิวพรรณวรรณะแห่งร่างกายงดงามเป็นของที่เลิศ ย่อมเจริญแก่เขาที่ได้ถวายทานนั้น    ยศ เกียรติคุณ ความสุขและกำลังอันเลิศ ก็ย่อมเจริญแก่เขา   อคฺคสส ทาตา เมธาวี ผู้มีปัญญาได้ถวายทานแก่ท่านผู้เลิศแล้ว อคฺคธมฺมสมาหิโต ตั้งอยู่ในธรรมอันเลิศ   เทวภูโต มนุสฺโส วา จะไปเกิดเป็นเทวดาหรือว่าจะไปเกิดเป็นมนุษย์   อคฺคปฺปตฺโต ปโมทติ ย่อมถึงเป็นผู้เลิศบันเทิงอยู่   เกิดเป็นเทวดาก็ได้เกิดในวิมานทีเดียว   จะเกิดเป็นมนุษย์  ก็เกิดในปราสาททีเดียว   ถึงซึ่งความเป็นผู้เลิศบันเทิงอยู่   ไม่ต้องทำไร่ไถนา ค้าขายใดๆ   เกิดในกองสมบัติทีเดียว   นี่เป็นหลักยืนยันว่าธรรมนั่นแหละ ย่อมรักษาผู้ประพฤติได้จริงอย่างนี้   ไม่คลาดเคลื่อน  อย่าไปต้องสงสัยอะไรเลย   อย่าระแวงอะไรเลย   ถ้าไม่สงสัย ก็ให้มั่นอยู่ในธรรม  จะทำอะไรก็ช่าง  
  • ดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ ใสหรือไม่
  • ดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ละเอียด ใสหรือไม่   ถ้าใสเข้าอยู่เวลาใด  ได้เวลานั้น
  • ดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายทิพย์ ใสหรือไม่   ถ้าใส เข้าอยู่เวลาใดได้เวลานั้น
  • ดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายทิพย์ละเอียด ใสหรือไม่   ถ้าใส เข้าอยู่เวลาใดได้เวลานั้น
  • ดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายรูปพรหม ใสหรือไม่   ถ้าใส
  • ดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายรูปพรหมละเอียด ใสหรือไม่  ถ้าใส
  • ดวงธรรมที่ทำให้ เป็นกายอรูปพรหมใส หรือไม่ ถ้าใส
  • ดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายอรูปพรหมละเอียด ใสหรือไม่ ถ้าใส
  • ดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายธรรมใสหรือไม่ ถ้าใส เข้าอยู่ในเวลาใด ได้เวลานั้น
ตลอดกายธรรมละเอียด กายธรรมโสดา-โสดาละเอียด  กายธรรมสกทาคา-สกทาคาละเอียด  กายธรรมอนาคา-อนาคาละเอียด กายธรรมพระอรหัต-อรหัตละเอียด   นี่แหละเรียกว่า ธมฺมวิหารี ผู้มีธรรมเป็นเครื่องอยู่ หรือ สุขธมฺมวิหารี ผู้มีธรรมเป็นเครื่องอยู่เป็นสุข  อยู่ในกลางดวงธรรมนั้น   จะปฏิบัติให้ถูกหลักพระพุทธศาสนา หลักพระพุทธศาสนาอยู่ในกลางดวงธรรมนั้น  ไม่ได้อยู่ที่อื่น   หลักพระพุทธศาสนาไม่มีอื่น  มีดวงศีล สมาธิ ปัญญา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา   เมื่อจัดออกมาทางกายวาจาไปอีกเรื่องหนึ่ง   จัดไปทางเจตนาก็อีกเรื่องหนึ่ง  ถ้าจัดเข้าไปในดวงธรรม  ก็คือดวงศีลทีเดียว   เท่าดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ใสบริสุทธิ์สนิท  เมื่อเป็นมนุษย์ก็ปฏิบัติอยู่ในดวงธรรม   ดวงศีลนั่น  ที่จะเข้าถึงดวงศีลต้องเข้าถึงดวงธรรมก่อน   ดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน  หรือ ดวงปฐมมรรค หรือ ดวงเอกายนมรรค  เท่าดวงจันทร์ดวงอาทิตย์เหมือนกัน และหยุดอยู่กลางดวงธรรมนั่นแหละ   นี่จะปฏิบัติทางพระพุทธศาสนาละ  ปฏิบัติทางธรรม  ได้หลักแล้ว  ได้หลักศาสนาแล้ว  ปฏิบัติทางธรรมต่อไป   ปฏิบัติทางธรรมก็ต้องให้มั่นคง
  • ใจนิ่งอยู่กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์  พอถูกส่วนเข้าก็เห็นดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน
  • ใจหยุดอยู่กลางดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน พอหยุดก็หยุดในกลางดวง ของกลาง กลางของกลางๆๆๆ พอถูกส่วนเข้าก็เห็นดวงศีล
  • หยุดอยู่กลางศีล พอถูกส่วนเข้า ก็กลางของกลางใจที่หยุดนั่นแหละ ก็เข้าถึงดวงสมาธิ
  • หยุดอยู่กลางดวงสมาธิ พอหยุดเข้า กลางของหยุด กลางของกลางๆๆๆ พอถูกส่วนเข้าก็เข้าถึงดวงปัญญา
  • หยุดอยู่กลางดวงปัญญา เข้ากลางของหยุด กลางของกลางถูกส่วนเข้าก็เข้าถึงดวงวิมุตติ
  • หยุดอยู่กลางดวงวิมุตติ  พอหยุดเข้าก็กลางของกลางๆๆ พอหยุดถูกส่วนเข้า ก็เข้าถึงดวงวิมุตติญาณทัสสนะ
  • หยุดอยู่ศูนย์กลางของดวงวิมุตติญาณทัสสนะ  พอถูกส่วนเข้ากลางของกลางๆๆๆๆๆ  ก็เห็นกายมนุษย์ละเอียด
ดำเนินไปในกายมนุษย์ละเอียดแบบนี้แหละ  ก็จะเข้าถึงดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายทิพย์ ดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายทิพย์ละเอียด ดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายรูปพรหม-รูปพรหมละเอียด ดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายอรูปพรหม-อรูปพรหมละเอียด ดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายธรรม-กายธรรมละเอียด เป็นลำดับขึ้นไปทั้ง 18 กาย ถึงตลอดแบบเดียวกันนี้
นี่ปฏิบัติทางพระพุทธศาสนา คือ ไปทางศีล สมาธิ ปัญญา ปฏิบัติเข้าไปข้างใน   ถ้าปฏิบัติถอยออกมาข้างนอก ก็กายวาจาบริสุทธิ์ ว่ากันเจตนาบริสุทธิ์ไปอีกกว้างๆ     เป็นปริยัติไป   ถ้าปฏิบัติต้องเดินให้ตรงเข้าไปข้างใน   นั่นเป็นทางปฏิบัติ   เมื่อเข้าถึงปฏิบัติแล้ว  ก็ปฏิเวธเป็นชั้นๆ เข้าไป
เมื่อเข้าถึงกายมนุษย์หยาบนี้  เข้าไปในทางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ในศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ  เข้าไปถึงกายมนุษย์ละเอียด   พอถึงกายมนุษย์ละเอียด  ก็เป็นตัวปฏิเวธอยู่แล้ว เห็นกายมนุษย์ละเอียดเข้าแล้ว  นั่นเป็นตัวปฏิเวธอยู่แล้วตามส่วน   เข้าไปในกลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ละเอียด  จนกระทั่งถึงกายทิพย์ก็เป็นปฏิเวธอยู่แล้ว เห็นกายทิพย์เข้าแล้ว   เห็นกายทิพย์ละเอียดก็เป็นปฏิเวธ   เห็นกายรูปพรหมก็เป็นปฏิเวธ เห็นกายอรูปพรหมก็เป็นปฏิเวธ   เห็นกายอรูปพรหมละเอียดก็เป็นปฏิเวธเป็นชั้นๆ เข้าไป   เข้าถึงกายธรรม เข้าถึงกายธรรมก็เป็นปฏิเวธ   เข้าถึงกายธรรมละเอียดก็เป็นปฏิเวธ   แบบเดียวกันนั่นแหละ  จะปฏิบัติไปอย่างไรก็ว่าไปเถอะปริยัติ   เมื่อเข้าถึงปฏิบัติแล้ว ก็เข้าถึงปฏิเวธ เป็นลำดับไป  เข้าถึงโสดา-โสดาละเอียด  สกทาคา-สกทาคาละเอียด  อนาคา-อนาคาละเอียด  อรหัต-อรหัตละเอียด เป็นลำดับไป  ไม่เคลื่อนละ ไม่เคลื่อนหลัก   เอาหลักมาปรับดูเถอะ   ปริยัติเอามาปรับดูเถอะ   แต่ว่าผู้เรียนปริยัติ  ผู้เรียนบาลีท่านไม่เห็น   ท่านก็เรียนตามศัพท์ของท่านไป   เมื่อท่านเห็นท่านก็เรียนตามความเห็นของท่าน นี่เรื่องนี้สำคัญ
เพราะเหตุนั้น การปฏิบัติศาสนาหรือนับถือศาสนา  ถ้าว่าศึกษาไม่ได้หลักพระพุทธศาสนาแล้ว  จะนับถือไปสัก 50 ปีก็เอาเรื่องไม่ได้   ถ้าได้หลักแล้ว จึงจะเอาเรื่องได้   เพราะฉะนั้น วัดปากน้ำได้หลักแล้ว   ต่อไปหมดประเทศไทย  จะต้องถือเอาวัดปากน้ำนี้เป็นหลักทางปฏิบัติ   ในทางปฏิบัติ ปฏิเวธ   ส่วนปริยัติน่ะไม่ต้องเอาวัดปากน้ำ  วัดปากน้ำต้องไปเอาเขามาอีก   เอามาจากตำรับตำราที่เขาตั้งไว้เป็นหลักสูตรในประเทศไทย  ถึงกระนั้นปริยัติวัดปากน้ำ  ก็ไม่แพ้ฝั่งพระนคร   ชนะฝั่งพระนครหลายวัด   เหลือไม่กี่วัดที่จะล่วงล้ำไป  แต่ส่วนปฏิบัตินั้น ชนะหมดทั้งประเทศไทย   วัดใดวัดหนึ่งสู้ไม่ได้   เพราะวัดใดวัดหนึ่งสั่งสมพวกมีธรรมกายมาก  ไม่ได้เหมือนวัดปากน้ำ   วัดปากน้ำสั่งสมมากเวลานี้ ขนาด 100   ขาดเกินไม่มาก  ทั้งอุบาสก อุบาสิกา พระเณร 100 ขาดเกินไม่มาก  หรือจะกว่าก็ไม่รู้   แต่ว่ายังไม่ได้สำรวจถี่ถ้วน  แล้วจะ สำรวจให้ดูว่ามีเท่าใด  มากอยู่แล้วพวกที่ปฏิบัติใช้ได้ทีเดียว  ที่ใช้ไม่ได้อย่างสูงนั้น  ผู้เทศน์ต้องคอยคุม   ถ้าไม่คุมละก้อ ไปสูงไม่ได้  มารมันปัดลงต่ำเสีย   มันแนะนำให้วางเป้าหมายใจดำเสีย  ไม่จรดอยู่ที่เป้าหมายใจดำ   ที่ผู้เทศน์คอยคุมไว้ละก้อ  ถูกเป้าหมายใจดำ    ตรงกันข้ามกับพวกพญามาร  ถ้าว่าไม่คุมไว้แล้ว  เป็นลูกศิษย์พญามารเสียแล้ว  มารเอาไปใช้เสียแล้วอย่างนี้มาก   เหตุนั้นเมื่อมาพบของจริงเช่นนี้แล้ว  ทั้งพระ ทั้งเณร ทั้งอุบาสก อุบาสิกา ควรปล่อยชีวิต  ค้นเอาของจริง   รักษาของจริงไว้ให้ได้   เมื่อได้แล้วละก็  จะยิ้มในใจของตัวอยู่เสมอไป   ไม่มีความเดือดร้อนใดๆ   เห็นว่าพระพุทธศาสนานี่เป็นนิยานิกธรรมจริง   นำสัตว์ออกมาจากทุกข์  ได้จริงในปัจจุบันทันตาเห็นทีเดียว   เมื่อรู้จักหลักอันนี้นี่แหละ  ธมฺโม หเว รกฺขติ ธมฺมจารึ  ธรรมย่อมรักษาผู้ที่ประพฤติธรรม   ธมฺโม สุจิณฺโณ สุขมาวหาติ ธรรมนั่นแหละ สั่งสมไว้ดีแล้ว  นำความสุขมาให้แท้ๆ  
เหตุนี้แหละที่ได้ชี้แจงแสดงมาแล้วนี้   เพื่อเป็นปฏิการสนองประคองศรัทธา ประดับสติปัญญาคุณสมบัติของท่านผู้พุทธบริษัท ทั้งคฤหัสถ์บรรพชิต บรรดาสโมสรในสถาน ที่นี้ถ้วนหน้า อาตมภาพชี้แจงแสดงมาพอสมควรแก่เวลา    เอเตน สจฺจวชฺเชน ด้วยอำนาจความสัจที่อ้างธรรมปฏิบัติตั้งแต่ต้นจนอวสานนี้   สทา โสตฺถี ภวนฺตุ เต ขอความสุขสวัสดี จงบังเกิดแด่ท่านทั้งหลาย บรรดามาสโมสรในสถานที่นี้ทุกถ้วนหน้า   อาตมภาพชี้แจงแสดงมา พอสมควรแก่เวลา สมมติว่ายุติธรรมมีกถาโดยอรรถนิยมความแต่เพียงเท่านี้    เอวํ ก็มีด้วย ประการฉะนี้
เจริญธรรม